พระอาจารย์ปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ
แสดงพระธรรมเทศนา
ที่ยังให้พระอาญาครูดี,พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
และพระภิกษุกู่ ธัมมทินโน
ศรัทธาในการปฏิบัติ เมื่อ
ได้พบ - ฟังธรรมะ
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ
เป็นครั้งแรก
ได้พบ - ฟังธรรมะ
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ
เป็นครั้งแรก
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ
ท่านได้แสดงธรรมเทศนาสั่งสอนเริ่มตั้งแต่การให้ทาน การรักษาศีล ตลอดถึงการภาวนา
ว่ามีผลอานิสงส์มาก แต่การที่ผู้ให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระ ฟังธรรม
กระทำเจริญกรรมฐานการภาวนา ที่ไม่ได้อานิสงส์ผลมากนั้น เพราะพวกเรายังมีการเห็นผิด
มีความนับถือ และเชื่อถือผิดจากทางธรรมที่พระพุทธองค์นำพาสาวกประพฤติปฏิบัติมา
ตัวอย่างเช่น ชาวบ้านเรายังบวงสรวงนับถือบูชา หอทะคาอารักษ์
(เรียกตามภาษาพื้นบ้านสมัยก่อน) ภูตผีปีศาจ พระภูมิเจ้าที่ ผีสางนางไม้
เคารพนับถือเอามาเป็นที่พึ่งตามความเข้าใจผิดของพวกเรา
โดยเข้าใจว่าของเหล่านั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ ดลบันดาล คุ้มครอง
ปกปักรักษาและป้องกันภยันตรายได้จริง มีการฆ่าสัตว์ 2 เท้า 4 เท้า มีวัว ควาย หมู
เป็ด ไก่ ตลอดถึง เหล้า สุรา ยาดองของมึนเมา เอามาทำพิธีกรรม เซ่นสรวง บวงสรวง ทะคา
ปีศาจ วิญญาณภูตผี พระภูมิเจ้าที่ เทวาอารักษ์
เขาเหล่านั้นจะได้มาเสวยเครื่องสังเวยที่เอามาทำการเซ่นสรวงหรือไม่ ไม่มีใครเห็น
เห็นแต่พวกเจ้าเองนั่นแหละอิ่ม เมา มึนเมามัวซัวเสียครึกครื้นกันทั้งบ้าน
แล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะมาช่วยอะไรเราไม่ได้ มีแต่จะมาก่อกวน ก่อกินกับพวกเราร่ำไป
รอบปีหนึ่ง ๆ ก็ต้องเสียวัวเสียควาย หมู เป็ด ไก่ ให้มันทุก ๆ ปี
พวกเรามีความเชื่อถือมาผิด ๆ เพราะความเห็นผิดนี้แล ไม่ใช่ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่สาวก อุบาสก อุบาสิกา ประพฤติปฏิบัติมา การไหว้พระ ภาวนา รักษาศีล ให้ทาน
การทำบุญกุศลจึงไม่มีผลอานิสงส์มาก
ให้พากันเลิกละความเชื่อถือผิดตามความที่เคยเชื่อถือและนับถือผิดมาแล้วนั้นเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
อย่าได้เกี่ยวข้องกับมันอีกอย่างเด็ดขาด
คุณพระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของพวกเรา
พระพุทธเจ้า 1 พระธรรม 1 พระสงฆ์ 1 ทั้ง 3 อย่างนี้ เรียกว่า พระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้า นั้น พระองค์ทรงคุณคือ กายกรรม การกระทำการใด ๆ ทางกาย พระองค์ทรงละเว้นการกระทำในทางที่ผิด มีการเบียดเบียนตนและคนอื่น ให้เกิดโทษ เป็นทุกข์ภัยอันตรายแก่ตนเองนั้นเสีย และพระองค์ทรงกระทำแต่ในทางที่ถูก ไม่เบียดเบียนตน และใครคนอื่นเขาตลอดถึงสัตว์อื่นด้วย ทำแต่คุณความดีที่ให้เกิดประโยชน์แก่ตนทั้งบุคคลอื่นและสัตว์อื่น กายของพระองค์ทำแต่กรรมดี มีความบริสุทธิ์ผ่องใสสะอาดปราศจากกรรมอันมัวหมองต้องโทษ พระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงคุณคือ วจีกรรม การกล่าวออกเสียง ชี้แจงแสดงพูดออกเสียงมาทางวาจา พระองค์ทรงเว้นจาก การกล่าวเท็จ พูดคำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไม่เป็นประโยชน์ทั้งตนและคนอื่น พระองค์ทรงพูดแต่คำสัตย์จริง เป็นคำที่มั่นคงตั้งอยู่ตลอดกาลไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงเป็นสวากขาโต ภควาตา ธัมโม พระองค์ทรงกล่าวแต่คำที่จะทำให้เกิดความสมัครสมานประสานความสามัคคีในทางดีมีประโยชน์ซึ่งกันและกันตลอดถึงประโยชน์ส่วนรวมพร้อมทั้งประโยชน์ชาตินี้และชาติหน้า และประโยชน์อย่างสูงสุดชั้นวิมุติเฉทปหาน พระองค์ทรงคุณ คือเว้นจากการพูดคำหยาบคายซึ่งเป็นคำพูดที่แสลงหูของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้เป็นทุกข์โทษไม่เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย พระองค์ทรงคุณคือ เว้นจากคำพูดอันเหลวไหลไร้สาระ พูดแต่คำกอปรด้วยประโยชน์ เป็นคำพูดที่สะอาดหมดจดปราศจากมัวหมองธุลีละอองใด ๆ ทั้งสิ้น จนพระองค์ทรงได้บรรลุถึงซึ่งขั้นชั้นวจีวิสุทธิคุณอันยอดเยี่ยม พระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงคุณคือ มโนวิสุทธิ มีจิตใจหมดจดสะอาดผ่องใสบริสุทธิ์ปราศจากละอองธุลีอันเป็นมลทิน อันมีความโลภ โกรธ หลง เป็นต้น พระองค์มีกาย มีวาจา มีจิตบริสุทธิ์ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คื กิเลสอาสวะไม่มีใน กาย วาจา จิต พระองค์ได้บรรลุถึงขั้นวิสุทธิคุณอันยอดเยี่ยม ซึ่งไม่มีมนุษย์และสัตว์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ใด ๆในโลกได้บรรลุถึงคุณนามว่าวิสุทธิคุณอย่างยอดเยี่ยมนี้เลย
พระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงพระเมตตาพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด แก่พวกเราและสัตว์ทั้งหลายในโลกหาประมาณมิได้ พระองค์ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากในพระวรกาย ท่องเที่ยวไปโปรดเทศนาแนะนำพร่ำสอนตามคามเขตนิคม ทุกแห่งทุกหน ทุกบ้านทุกตำบล ตามหมู่บ้านชนบท บ้านน้อยใหญ่ ตามไร่นาป่าเขา จะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ เศรษฐี คฤหบดี มีจนคนใดอย่างไรไม่เลือก พระองค์ทรงชักนำพร่ำสอน อนุเคราะห์ สงเคราะห์เวไนยชนเหล่านั้น ด้วยอาศัยพระมหากรุณาเมตตาธิคุณของพระองค์อย่างล้นฟ้า ล้นฝั่งไม่เคยบกพร่องแม้แต่น้อยเลย จึงได้ชื่อว่าพระองค์ทรงพระมหากรุณาธิคุณ
พระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงมีพระปัญญาคุณ เป็นคุณอันสำคัญยิ่งเพราพระปัญญษคุณนี้เอง ทำให้พระองค์ได้สำเร็จในการตรัสรู้บรรลุถึงอรหัตตคุณ เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ป็นเอกในโลก ธรรมที่พระองค์ทรงได้บรรลุถึงซึ่งการตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองเหล่านั้น พระองค์ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากใครคนใดที่ไหนมาก่อนเลย พระองค์ได้ตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันปรีชาหลักแหลม เฉลียวฉลาด องอาจแกล้วกล้า ยังความสามารถให้ได้บรรลุถึงคุณคือ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธ ด้วยลำพังพระองค์เองอย่างเยี่ยมยอดเป็นเอกในโลกกับด้วยเทวดา มาร พรหม ในประชาชน กับด้วยสมณะและพราหมณ์ กับด้วยเทวดา และมนุษย์ สูงสุดไม่มีใครและสิ่งใดจะมาเปรียบเทียบเทียมเท่าพระมหาปัญญาคุณของพระองค์ได้
พระมหาปัญญาคุณอันเลิศประเสริฐสูงสุดนี้เอง ทำให้พระองค์มีความสามารถได้ลุถึงซึ่งความสำเร็จพระมหาสัพพัญญุตญาณคุณ เป็นคุณธรรมยิ่งใหญ่สูงสุดกว่าโลกทั้ง 3 คุณของพระพุทธเจ้านั้นมีมาก ไม่สามารถที่นำเอามาแสดงที่นี้ให้สิ้นสุดได้ ขอให้พวกเราศึกษาจดจำไว้โดยอย่างย่อเพียง 3 อย่างก่อน คือ ทรงพระมหาปัญญาคุณ 1 ทรงพระมหาบริสุทธิคุณ 1 ทรงพระมหากรุณาธิคุณ 1พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายพระองค์ทรงไว้ด้วยดีแล้ว ซึ่งพระมหาปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระสัพพัญญคุณ พระสัพพอนันตคุณดังแสดงมาแล้วนี้ ให้พวกเราทั้งหลายทุกท่านทุกคนตั้งจิตน้อมนึกระลึกถึงพระคุณของพระองค์ ทุกวันทุกเวลา เคารพนบไหว้น้อมกราบบูชานับถือเป็นสรณะ ที่พึ่งของตนทุกคนทุกท่านเถิด จักได้เป็นมหากุศล อันล้ำเลิศประเสริฐนักแล ที่พวกเรานบไหว้บูชา เซ่นสรวงเทวดาอารักษ์ พระภูมิเจ้าที่ ภูตผีปีศาจ อะไรเหล่านี้ มันไม่สามารถที่จะช่วยอะไรเราได้ อย่าพากันเชื่อถือและนับถือผิด ๆ กันต่อไป
พระธรรม นั้นคือ สภาวะที่ให้เกิดความสุขและทุกข์จากบุคคลที่ฉลาดและไม่ฉลาดกระทำขึ้นมานี้เอง เป็นความจริงมีตลอดกาล อย่างมั่นคง เป็นของประจำโลก จึงเรียกว่า ธรรมเป็นสภาพที่ดำรงทรงไว้ซึ่งความจริง พระธรรมนั้นบางอย่างเมื่อบุคคลกระทำแล้ว ให้เกิดความสุข เป็นคุณความดี มีประโยชน์แก่ตนผู้ทำก็มี บางอย่างทำแล้วกลับให้เกิดทุกข์เป็นโทษภยันตรายแก่ตัวผู้กระทำก็มี บางอย่างทำแล้วเป็นกลาง ๆ ไม่เป็นคุณเป็นโทษก็มีแต่ที่นี่ จัดแสดงธรรมในส่วนที่เป็นคุณและเป็นโทษเท่านั้น บุคคลใดที่ยังไม่ฉลาดไม่รอบรู้ในทางธรรม เขาย่อมฆ่าสัคว์ ลักทรัพย์ ประพฤติมิจฉาจารทางกาม เป็นความทุจริตทางกาย เรียกว่ากายทุจริตบ้าง เขาย่อมนำเอาความไม่จริงมาพูดทั้ง ๆ ที่รู้เรียกว่าพูดเท็จ ย่อมพูดส่อเสียดนำเรื่องยุยงให้แตกร้าวซึ่งกันและกัน พูดคำหยาบไม่เสนาะเพราะหูแก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังบ้างพูดเพ้อเจ้อเลอะเทอะเหลวไหลไร้ประโยชน์ เป็นการทุจริตทางวาจาที่เรียกว่า วจีทุจริต เขาย่อมมีความละโมบโลภเพ่งเล็งในวัตถุข้าวของของคนอื่นมาเป็นของตน เรียกว่า อภิชฌาวิสมโลภะ คิดปองร้ายผูกอาฆาตบาดหมางจองเวรจองผลาญ เป็นการคิดพยาบาทย่อมมีความคิดเห็นผิดจากความเป็นธรรมที่มีเหตุผลตามความเป็นจริง เป็นมิจฉาทิฎฐิ นี้เรียกว่า มโนทุจริต คนไม่ฉลาดย่อมทำกรรมเป็นการทุจริต ด้วย กาย วาจา จิต เป็นอกุศลธรรม คือ อกุศล อันเป็นที่มาจากจิตที่ประกอบกีบกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นมูลชวนให้ทำบาป อปุญญาภิสังขารเป็นปัจจัย อาศัยมาจากอวิชชา เป็นนายช่างผู้ปรุง ชวนจิตของคนผู้ไม่ฉลาดให้ทำกรรมที่เป็นบาปอกุศลให้ผลเป็นโทษ ได้รับความเสวยทุกข์ทรมานกายและจิตใจ อาศัยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์จึงได้ทรงชี้แจงแสดงพร่ำสั่งสอนชาวเราผู้ยังโง่ ยังไม่ฉลาดทั้งหลายเหล่านี้ว่า สัพพปาปัสสะอะกรณัง เอตังพุทธานะสาสะนัง อย่าทำกรรมอันเป็นบาปน้อยใหญ่ด้วยทั้งกาย วาจา ใจทั้งปวง นี่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เราเรียกว่าพระศาสดาดังนี้
บุคคลผู้มีสติปัญญาดี เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง พระสัจธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เขาย่อมเป็นผู้มีจิตแสนฉลาด รู้ความหมายมีศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจในอรรถในธรรม เขาทำแต่กรรมดี ละกายทุจริต ดังจิตเจตนา เว้นห่างจากบาป เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยเอาข้าวของของผู้อื่นไม่ประพฤติผิดมิจฉาทางกาม ไม่พูดความเท็จ พูดแต่ความจริง ไม่พูดส่อเสียดให้เกิดความทะเลาะแตกความสามัคคีต่อกัน ไม่พูดคำหยาบ ไม่แสลงหู ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจดี ไม่มีภัยในคำพูด พูดมั่นคงมีหลักฐาน ไม่เป็นคำเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์ เป็นวาจาสะอาด นักปราชญ์นิยมชมชอบ
พระสงฆ์ นั้นคือ ท่านปฏิบัติรักษากายของท่านดี วาจาของท่านก็ปฏิบัติดี
จิตของท่านก็มีสติปัญญาเป็นเครื่องรักษาและป้องกันอย่างดียิ่ง เป็น สุปฏิปันโนสงฆ์
ท่านบุคคลใดปฏิบัติจิตและอบรมจิตด้วยสติปัญญาอันคมกล้าอย่างถูกต้องตรงตามทางของพระอริยะเป็นทางเอกเหนือทางโลกทั้ง
3 ท่านนี้แล เป็น อุชุปฏิปันโนสงฆ์
ท่านบุคคลใดเป็นผู้ปฏิบัติจิตอาศัยที่ได้พลังมาจากมหาสติมหาปัญญาที่ตนได้เตรียมไว้อย่างถูกต้องตามศีลธรรมของพระอริยะ
เหมือนคนผู้ฉลาด
รู้จักเลือกเอาลูกกุญแจถูกกับตัวของมันพอจับเข้าไปถึงจุดไขนิดเดียวก็หลุดพ้นออกมาทันนี
นี้ฉันใดท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง ตามทางของพระอริยะเพื่อมรรคผลนิพพานก็เช่นนั้น
ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล เป็น ญายปฏิปันโนสงฆ์ บุคคลท่านใดแล เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรง
ปฏิบัติอย่างถูกต้องปฏิบัติชอบยิ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดงดงามสะอาด
ปราศจากกิเลสตัณหาอาสวะเห็นแจ้งพระนิพพานพระองค์ท่านนี้แล เป็น สามีจิปฏิปันโนสงฆ์
บุคคลท่านผู้ปฏิบัติดังได้แสดงมานี้จึงได้ชื่อว่าเป็น
พระอริยะสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐเราทั้งหลายควรนบนอบคำนับ
ต้อนรับเคารพกราบไหว้สักการบูชา
ตั้งจิตด้วยสติระลึกน้อมนึกเอาเข้ามาภาวนาว่าเป็นสรณะ ที่พึ่งของเราอันประเสริฐ
สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ หรือจะบริกรรมว่า สังโฆ เม นาโถ หรือ สงฺโฆ สงฺโฆ
สงฺโฆ ๆๆๆ ก็ได้ เมื่อพากันได้ยิน ได้ฟัง แล้วต้องปฏิบัติตามจักได้เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา
ถ้าไม่ปฏิบัติก็พึ่งอะไรไม่ได้ จะเป็นคนอนาถาหาที่พึ่งไม่มี มีแต่ภัยแตแวร
ทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน จะพึ่งพาอาศัยอะไรก็ไม่ได้
เพราะเราไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติไว้ให้ได้เป็นสมบัติตัวของเราเอง
เมื่อเราได้มาฝึกหัดปฏิบัติเพื่อให้จิตใจของเรามีความฉลาดเกิดมีสติปัญญา
ศรัทธาเลื่อมใส เคารพนับถือเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธเจ้า
คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ แล้วกราบไหว้บูชาทุกวันทุกเวลา อย่างนี้เราก็พึ่งได้
เพราะที่พึ่งของเรามีแล้วเราทำบุญให้ทานการกุศลใด ๆ ย่อมได้ผลอานิสงส์มาก เราอยู่ในชาติใด
ภพใดเราก็ได้อาศัยซึ่งบุญกุศลที่ตนได้ทำไว้แล้ว เป็นที่พึ่งอาศัย บำรุงตกแต่ง
คุ้มครองรักษา กาย วาจา ใจ ให้พ้นภัยอันตรายมีแต่ความสุขกายสบายใจ
เราจะปรารถนาสิ่งใด ก็ย่อมได้บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จ
เพราะมีผู้ได้รับความสำเร็จมากต่อมากนับจำนวนไม่ได้ ทั้งในอดีต และปัจจุบันมาแล้ว
อย่างนี้พวกเราต้องการไม่ไช่หรือ เมื่อเราต้องการแต่เราไม่ทำจะได้หรือ
ไม่ได้ถ้าเราไม่ทำ ได้จำเพาะผู้ที่ได้ทำไว้แล้วเท่านั้น ข้อนี้ควรจำไว้ให้ดี
พระอาจารย์มั่น ท่านได้เทศน์สอนอบรมแสดงถึงเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา
ว่ามีผลมากก็เมื่อเรามีศรัทธา เลื่อมใส ตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้อง
ให้เลิกละการนับถือ และเชื่อถือผิด แล้วก็ปฏิบัติผิด ๆ กันมานั้นเสีย
ท่านได้แสดงอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบให้พวกเราเห็นแจ้งจริงประจักษ์ในจิตใจ
ทำให้เกิดมีความพอใจเลื่อมใสศรัทธา ในพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ
ในกาลครั้งนั้นเป็นอันมาก จึงมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์
ตั้งจิตปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ เลิกละการเซ่นสรวงบูชา เทสดาอารักษ์
วิญญาณพระภูมิเจ้าหน้าที่ มเหศักดิ์หลักคุณ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พากันนับถือเคารพกราบไหว้สักการะบูชาแต่ในคุณพระรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธเจ้า
คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งของตนมาจนตราบทุกวันนี้
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
พระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน
พระอาญาครู ดี
ฝ่ายพระสงฆ์ผู้ซึ่งมีศรัทธาได้มาร่วมฟังธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตะมหาเถระ ในคราวครั้งนั้น มีท่านพระอาญาครูดี พระภิกษุฝั้น อาจาโร
พระภิกษุกู่ ธัมมทินโน ฟังท่านแสดงจบลงแล้วเกิดความปิติปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้ง
3 องค์ จึงเข้าไปมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์
ด้วยจิตศรัทธาอันแรงกล้าเพื่อจะได้ฝึกศึกษาและปฏิบัติติดตามพระอาจารย์ไป
เมื่อพระอาจารย์มั่น และคณะได้พักอยู่ที่นั้นตามสมควรแก่อัธยาศัยแล้ว
ท่านก็ได้พาคณะของท่านจาริกออกเดินธุดงค์ต่อไป เป็นเหตุให้ศิษย์ใหม่ทั้ง 3
องค์ตระเตรียมบริขารการออกธุดงค์อยู่ป่าไม่ทัน
ถึงอย่างนั้นใจของท่านก็ไม่ยอมเลิกละความพยายามที่จะติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปด้วยใจศรัทธาอันเปี่ยมฝั่งไม่เคยบกพร่องตลอดเวลา....
ข้อมูลจาก http://luangpumun.org/fun.html
บันทักโดยพระอาจารย์สุวัจ สุวโจ
จากอาจาริยเถรประวัติ
ของทุก ๆ พระองค์มาเปิดเผย
ที่เปิดเผยคลังธรรม สมบัติอันล้ำค่า
ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ ธรรมความจริง ธรรมเหนือโลก...
ครูบาอาจารย์ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งสุดยอดธรร
พระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน วัดป่ากลางโนนภู่
อ.พรรณนานิคม จ.สกลนคร
พระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ 8 เดือนตุลาคม ปีพุทธศักราช 2519
เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง
จ.อุดรธานี
เราเคยเห็นคนตาย เกิดความสลดสังเวช บางรายตายด้วยความมีสติสตัง
รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจนถึงวาระสุดท้าย แต่บางรายตายไม่มีสติสตัง บ่นละเมอเพ้อไปต่างๆ
แล้วหมดไปเลย อย่างนั้นน่าทุเรศ
นี่เราเคยเขียนไว้ในปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น คิดว่าจำไม่ลืม
เป็นพระกรรมฐาน ท่านอาจารย์องค์นี้เราจะระบุชื่อก็ได้เพราะท่านผ่านไปแล้ว คือ
ท่านอาจารย์กู่ เป็นพี่ชายของท่านอาจารย์กว่าที่วัดบ้านภู่
ซึ่งพึ่งเสียไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชื่อท่านอาจารย์กว่า-
ท่านอาจารย์กู่นี้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น
ตอนที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่บ้านหนองผือนาใน
ท่านอาจารย์กู่นี้ก็ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านภู่
อันเป็นสถานที่ที่อาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นออกมาพักอยู่วัดบ้านภู่ด้วย
ก็มาพักอยู่กับท่านอาจารย์กู่ นี้แล ก่อนหน้าที่ท่านจะไปมรณภาพที่วัดสุทธาวาส
จังหวัดสกลนคร
เวลาถึงคราวท่านอาจารย์กู่จะล่วงลับไป ท่านเป็นโรคอะไรไม่ทราบ อยู่ที่ไหปลาร้า ภาษาของเราเรียกว่า ฝีหัวปลาไหล ก็คงจะเป็นมะเร็งนั่นแหละ มันไม่หาย เป็นมานาน เป็นๆ หายๆ พอสงบลงไปเดี๋ยวก็เป็นขึ้นมาๆ จนกระทั่งวาระสุดท้ายท่านก็ไปเสียชีวิตอยู่ที่ถ้ำเจ้าผู้ข้า บ้านโคกกะโหล่งกะเหล่งอะไรนั่นแหละ ทางเข้าไปหนองผือ ท่านเสียอยู่ที่ถ้ำนั้น ตอนที่ท่านจะเสียก็มีพระอยู่กับท่านสามสี่องค์ ตอนนี้เป็นตอนสำคัญ ถึงวาระสุดท้ายพระพยุงท่านลุกขึ้นนั่งภาวนา เวลานั้นท่านบอก คือท่านเตือนพระให้พากันชำระจิตให้ดี ท่านว่า จิตเป็นเอก จิตเป็นตัวสำคัญที่จะก้าวไปสู่ภพหน้า สูงต่ำสำคัญอยู่ที่จิตได้รับการอบรม มีความเฉลียวฉลาดมากน้อยที่สามารถจะทรงตัวได้ หรือยิ่งขึ้นไปโดยลำดับก็เพราะการอบรม นี่ผมจวนตัวแล้วเวลานี้ การจากไปของผมเวลานี้อย่าเข้าใจว่าผมจะไปล่มจมนะ ผมเป็นแต่เพียงเปลี่ยนสภาพแห่งความเป็นอยู่นี้เข้าสู่สภาพอื่น หากจะมีสิ่งที่ติดต่อสืบเนื่องให้เป็นภพเป็นชาติกันอยู่ก็เข้าสู่สภาพอื่น ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้วก็หมดปัญหา ท่านทั้งหลายวิตกวิจารณ์กับผม ท่านสอนย่อๆ ผมไม่ได้ไปล่มจม เมื่อจิตไม่มีความล่มจมแล้วอะไรจะล่มจมไม่มี คนๆ หนึ่ง สัตว์ตัวหนึ่ง สำคัญอยู่กับจิต ถ้าจิตมีหลักยึด มีหลักฐานมั่นคง จิตนี้จะอยู่ในร่างก็ตาม ออกจากร่างไปแล้วก็ตาม จะเป็นจิตที่มีความมั่นคงต่อตัวเองอยู่เสมอ ฉะนั้นขอให้พากันตั้งใจอบรมจิตให้ดี อย่าได้มีความประมาทในการบำเพ็ญจิตใจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก พอเสร็จเท่านั้นทีนี้ผมจะได้ลาท่านทั้งหลายไปบัดนี้ นั่นพอว่างั้นก็ไม่ถึงสามนาที ท่านพูดเป็นคำสุดท้ายจะไปแล้วนะ จากนั้นภาษาของเราเรียกว่าหายใจปลา แล้วหายเงียบไปเลย ก่อนจากไปเล็กน้อยท่านบอกว่าผมไม่ได้ไปล่มจมตามโลกที่กลัวกันว่า การตายนี่เหมือนกับไปล่มไปจม แต่ผมไปตามธรรมชาติของผมเอง นี่คือผลหรืออานิสงส์แห่งการอบรมจิตใจ เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว แม้ขณะจะตายก็พูดได้อย่างสะดวกสบาย เพราะจิตใจไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะฉิบหายไป ไม่ใช่สิ่งที่จะสลายตัวไปเหมือนร่างกาย ร่างกายเป็นธรรมชาติที่จะต้องสลายตัวเป็นธรรมดา เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นสลาย แต่จิตใจนี้แม้จะเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางต่ำและสูง แต่ความสลายของจิตไม่มีจิตใจที่ได้รับการอบรมแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงตนเองเข้าสู่ระดับสูงเรื่อยไปจนสามารถทรงตัวได้ ไม่วิตกวิจารณ์กับการเป็นการตาย เพราะจิตเป็นตัวของตัวโดยลำดับ หรือเป็นตัวของตัวอย่างเต็มที่แล้ว ผ่านไปจากร่างกายแล้วก็เป็นจิตดวงนั้น หากจะมีภพมีชาติสืบต่อ ก็เป็นภพชาติที่เหมาะสมกับจิตดวงนั้น ถ้าสิ้นเชื้อที่จะพาให้เกิดต่อไปอีกแล้วก็หมดปัญหา เป็นตัวของตัวอย่างสมบูรณ์ ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย นี่การอบรมจิตใจจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว จะยากลำบากเพียงไรก็ขอให้เห็นแก่คุณค่าของตัวเอง เพราะเราหวังพึ่งเราทั้งเป็นทั้งตาย การหวังพึ่งตนเองนั้นจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง จะสร้างอะไรให้เป็นที่พึ่งของตนได้นอกจากความดี พูดทางจิตโดยเฉพาะก็คือความดี เมื่อสร้างให้เป็นที่อบอุ่นให้เป็นที่พอใจแล้ว เจ้าของก็แน่ใจ การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่ประจักษ์อยู่กับผู้ปฏิบัติ ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ เวล่ำเวลาอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่การปฏิบัติตัวให้ดี ผลจะเป็นที่พึงใจ ตายที่ไหนก็ได้เมื่อเราแน่ใจแล้ว ไม่มีสำคัญอะไรกับเรื่องความตาย ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว เพราะจิตเป็นจิต กายก็เป็นกาย เมื่อสลายก็เป็นเรื่องสลายของธาตุของขันธ์ จิตไม่ได้สลายไปด้วย จะวิตกวิจารณ์กลัวว่าจะไปล่มจมที่ไหน
เพราะจิตก็ทราบชัดแล้วว่าไม่ใช่ตัวล่มจม ไม่ใช่ผู้ล่มจม เป็นผู้รู้อยู่ชัดๆ และความรู้นั้นที่พร้อมแล้วด้วยการอบรม พร้อมแล้วด้วยสติปัญญา ก็ยิ่งมีความอาจหาญรื่นเริงต่อการไปหรือต่อหน้าที่ของตนไม่สะทกสะท้าน ผลแห่งการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ จงฟังให้ถึงใจ ปฏิบัติให้ถึงธรรม จะรู้ธรรมเห็นธรรมประจักษ์ใจดวงรู้ ๆ อยู่นี่แล แต่ระวังกิเลสจะแอบมาจับหัวฟัดใส่หมอนเสียงดังครอกๆ จะว่าไม่บอก นี่เคยโดนมาแล้วจึงรีบบอกท่านทั้งหลายให้ระวังตัว ไม่งั้นจมลงหมอนไม่อาจสงสัยเพราะฉะนั้นพระขีณาสพท่านผู้ที่ผ่านพ้นไปแล้วทางด้านจิตใจ คือพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว ท่านจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายดังที่เราเห็นในตำรับตำรา องค์ไหนประสงค์จะนิพพานที่ไหน ท่านก็นิพพานของท่าน บางองค์ก็เดินจงกรมแล้วนิพพานก็มี ดังที่ท่านอาจารย์มั่นท่านปรากฏในสมาธิภาวนา ซึ่งได้เขียนไว้แล้วในประวัติของท่านอาจารย์มั่น บางองค์ก็นั่งนิพพาน บางองค์นอนนิพพาน บางองค์ยืนนิพพาน เพราะเป็นธรรมด๊าธรรมดาของเรื่องปล่อยธาตุขันธ์ ไปตามหลักธรรมชาติของเขาเท่านั้น ท่านไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกัน ในระหว่างความเป็นอยู่กับการตายไปของผู้สิ้นกิเลสแล้ว มีความหนักเบาเสมอกัน ถ้าจะถือตามหลักธรรมชาติของจิตแล้ว ความเป็นอยู่กับความตายไป ไม่มีเงื่อนใดหนักเบาต่างกัน มีน้ำหนักเสมอกัน หากจะคิดประโยชน์ทางโลกเข้าเกี่ยวข้อง เมื่อมีชีวิตอยู่จะได้ทำประโยชน์ให้โลกอย่างนั้น ๆ การเป็นอยู่ก็ดี เพราะจะได้ทำประโยชน์ให้โลกผู้หวังพึ่งธรรม ผู้หวังประโยชน์กับท่านยังมีอยู่มาก ถ้าไม่คิดถึงประโยชน์ทางโลกแล้ว ไปเสียดี ไม่ต้องมายุ่งกับธาตุกับขันธ์ที่แสนรบกวนตลอดเวลา ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักนี้ ขันธ์นี้ต้องแบกหามต้องรับผิดชอบ ทั้งขันธ์ของปุถุชนและขันธ์ของพระอรหันต์ ต่างแต่ขันธ์ของพระอรหันต์ท่านไม่มีอุปาทานเท่านั้น...
........................................
พระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อเช้าวันที่ 15 เดือนกรกฎาคม ปีพุทธศักราช 2548
เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม เขตบางแค กรุงเทพมหานคร
................................